พวงมาลัยเป็นงานศิลปะที่เริ่มมาจากในวัง ประกอบไปด้วยดอกไม้ที่เรียงร้อยด้วยเส้นดาย พวงมาลัยดอกไม้อาจให้ความรู้สึกหลายแบบ แต่คนส่วนใหญ่ เมื่อเห็นพวงมาลัยดอกไม้ ก็มักจะนึกถึงอะไรที่เกี่ยวกับพิธี ศาสนา และไสยศาสตร์ เรามักจะเห็นพวงมาลัยดอกไม้อยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบนหิ้งพระในบ้าน ในวัด ตามต้นไม้ ตามศาลเจ้า ศาลพระภูมิ และหาซื้อได้ตามตลาด หรือเด็กขายพวงมาลัยตามสี่แยกของถนน วิถีชีวิตคนไทยผูกพันกับพวงมาลัยดอกไม้ เรามักจะเห็นว่าพวงมาลัย เข้าไปอยู่ในเกือบทุกช่วง ทุกเวลาของชีวิตเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย
เราใช้พวงมาลัยในสถานการณ์ใดบ้าง
พวงมาลัยใช้ในหลายสถานการณ์ เช่นนำมาเป็นสิ่งต้อนรับ แสดงความเคารพ ใช้ในพิธีเปิดหรือพิธีที่ต้องมีการร่ำลา ใช้ในงาน พิธี เช่นงานศพ หรือเทศกาล นำไปเป็นของประดับ ใช้นำไปคล้องคอนักร้อง คล้องคอเจ้าบ่าว เจ้าสาว ไปจนถึงใช้ประกอบพิธีทางศาสนาหรือความเชื่อทางไสยศาสตร์ หากจะเริ่มจากตรงจุดนี้ เราจะเห็นได้ว่าดอกไม้นั่นเองที่มีอิทธิพลต่อจิตใจคนเรา และเป็นเครื่องมือแสดงหรือสื่อให้เห็นถึงภาวะทางจิตใจหรือความรู้สึกของคนเราในแต่บางสถานการณ์ อารมณ์ หรือความรู้สึกนั้นอาจเป็นสุข ยินดี เศร้า กลัว ไม่มั่นใจ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกตื่นเต้น หรือประหลาดใจกับสิ่งใดใด หรือเหตุการณ์ใดใดที่ประหลาด หรือสร้างความฉงน สงสัยให้เรา เช่นภาพเศียรพระที่ถูกรัดรอบด้วยรากไม้ ณ วัดมหาธาตุ ที่อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา หรือตามต้นไม้ที่มีรูปร่างแปลก ๆ แล้วก็เรียกว่าต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หรือพวงมาลัยที่นำไปบูชาต้นไม้ พร้อม ๆ กับผ้าพันรอบลำต้น ในพิธีทำบุญป่า
พวงมาลัยที่นำไปต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หรือแขกในโรงแรม ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนบอกความรู้สึกยินดี และเต็มไปด้วยความเต็มใจ ของพนักงานต้อนรับ สิ่งเหล่านี้ ถูกรับรู้โดยแขกเหรื่อ ว่า นี่คือการต้อนรับอย่างอบอุ่น เต็มไปด้วยความเป็นมิตร และความเป็นไทย
พวงมาลัยที่ห้อยอยู่ตามศาลเจ้า เป็นตัวอย่างหนึ่งของการนำพวงมาลัยมาใช้เป็นของบูชา หรือแสดงความเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และในการเคารพนั้นๆ มีหลายครั้งที่จะมีความรู้สึกกลัวและไม่มั่นใจ รวมไปถึงความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความหวัง ขณะยื่นพวงมาลัยไปวางบนหิ้งศาลเจ้านั้น และตามวิถีชีวิตของคนไทยแล้ว เราก็มักจะนำพวงมาลัยวางไว้บนหิ้งพระในบ้านด้วย ก็เพื่อแสดงความเคารพต่อพระพุทธ นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยังห้อยพวงมาลัยหน้ารถ พร้อมๆ กับความรู้สึกว่าพวงมาลัยนำความโชคดี และความปลอดภัยมาให้ ในงานหรือเทศกาลแข่งเรือ เราก็จะเห็นว่าพวงมาลัยจะถูกห้อยไว้ที่หัวเรือ ที่มีรูปสลักที่เรียกว่าแม่ย่านาง ในเทศกาลลอยกระทงที่จะถึงในเดือนพฤศจิกายนนี้ กระทงก็จะประดับด้วยดอกไม้เช่นกัน เพื่อนำไปบูชาแม่น้ำ
พวงมาลัยเกี่ยวพันกับการเสี่ยงทาย เห็นได้จากในวรรณคดีเรื่อง “เงาะป่า” ที่นางตัวเอกของเรื่องต้องเลือกคู่ ก็จะใช้พวงมาลัยโยน เพื่อเสี่ยงทายคู่ครอง หรือโยน เพื่อเลือกคู่ครองด้วยเช่นกัน ดังนั้น เราจึงเห็นบ่อยครั้งที่นางรำ ณ ศาลเจ้าขนาดใหญ่ จะรำแก้บน พร้อม ๆ กับในมือถือพวงมาลัย ทุกอย่างที่กล่าวมา เกี่ยวพันกับการเสี่ยงทาย และความต้องการโชคดี และความหวังทั้งสิ้น
ในอีกมุมมองหนึ่ง เป็นมุมมองทางสังคม ก็คือ พวงมาลัยสะท้อนให้เห็นชีวิตอีกแบบที่มีเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน คุณเคยรู้สึกหรือนึกถึงคนพวกนี้ไหม เวลาคุณเห็นพวงมาลัย เวลาส่วนใหญ่ของคุณ โดยเฉพาะคนกรุง อยู่ในรถ หากคุณอยากได้พวงมาลัย คุณจะนึกถึงใคร ถ้าไม่ใช้เด็กขายพวงมาลัย ตามแยกถนน แล้วทำไมคุณถึงนึกถึงเด็ก ก็เพราะเราเห็นจนเจนตาว่าเด็กมักจะเป็นผู้ขาย มองเลยไปอีก เด็กเหล่านี้ น่าจะไปเรียนหนังสือ ณ เวลานั้น มากกว่าจะมาขายพวงมาลัย อยู่บนท้องถนนที่มีแต่ควัน รถมากมาย อยู่กับคนแก่ ซึ่งอาจเป็นย่า หรือยาย ปู่ หรือตาของพวกเขา ที่นั่งร้อยมาลัยอยู่ใต้สะพาน หรือริมถนน มันสะท้อนให้เห็นว่ายังมีเด็กอีกมากที่ยังไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมพอ และคนแก่ก็ยังถูกลูกหลานละเลย โดยสรุปแล้ว มันก็แปลว่า คนจนมีอยู่มากมายเหลือเกิน แต่บางที พวกเขาก็อาจจะมีความสุขในสภาพนั้น เราก็ไม่อาจรู้
ในทางพระพุทธศาสนา ดอกบัวก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่ถูกนำมาเป็นสื่อทางด้านพุทธ เรามักจะเห็นดอกบัวอยู่คู่กับบาตรพระ เรานำดอกบัวมาถวายพระพร้อมกับอาหาร เวลาทำบุญตักบาตร ความหมายของดอกบัว มีมากกว่าตัวดอกบัวเอง เพราะเราได้รับความรู้มาว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาพร้อมกับมีดอกบัวรองพระบาท เวลาเดิน และท่านยังตรัสรู้ขณะที่นั่งบนดอกบัวด้วย เรื่องราวเหล่านี้ ทำให้เรานำดอกบัวมาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อประกอบกิจทางพุทธศาสนา
หลายครั้ง หรือเกือบทุกครั้ง เราก็ไม่อาจรู้ได้ ที่เรารับรู้เรื่องราว การบอกกล่าว เล่าขาน หรือจากการอ่านสิ่งต่าง ๆ แล้วเราก็สร้างความรู้สึกต่างๆ จากการรับรู้นั้น บางทีก็เป็นความรู้สึกด้านบวก บางทีก็ลบ เราอาจเรียกกระบวนการนี้ว่าการ Social Discourse เช่น เรารับรู้เรื่องราวของพระพุทธเจ้าที่มีดอกบัวมาเกี่ยวข้อง แล้วสร้างความรู้สึกจากการรับรู้เรื่องราวนั้น ๆ ผ่านดอกบัว เป็นความรู้สึกที่เรียกว่า “สงบ” การนำดอกบัวถวายพระ เราก็จะรู้สึกว่าเราได้ทำบุญ เราได้ความสงบ นั่นเป็นการปฏิบัติตามธรรมเนียม
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แก่นของพระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไม่ได้อยู่ที่ธูปเทียน ดอกไม้ หรือพวงมาลัย แต่ขึ้นอยู่กับสภาวะความจริงของจิตใจ ว่าเรารู้สึกอย่างไร สงบจริงหรือไม่ เข้าใจในความเป็นพุทธศาสนาจริงหรือไม่ ถ่องแท้แค่ไหน เพราะในความจริงแล้ว พระพุทธศาสนา คือหลักและกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติ ทุกอย่างมีที่มาที่ไปตามกฎธรรมชาติ และสิ่งนี้ก็ได้ ที่ทำให้ดอกไม้ ซึ่งเป็นผลผลิตของธรรมชาติ ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและพิธีการต่าง ๆ อันเนื่องมาจากความบริสุทธิ์ของมัน
ในที่สุดแล้วบางที หากไม่มีสิ่งที่เป็นสื่อกลางเช่นพวงมาลัย หรือดอกไม้เหล่านี้ บางที เราเองก็อาจหลงทาง และไม่มีธรรมเนียมหรือแบบแผนปฏิบัติใดใดเป็นแนวทางและมีการปฏิบัติสืบต่อ และนั่นหมายถึง สังคมนั้น ๆ ยังไม่ใช่สังคมที่สมบูรณ์
ในทางพาณิชย์ เรามักนำกระบวนการ Discourse เหล่านี้มาใช้เสมอ เพื่อตอกย้ำ “ความเป็น” สิ่งใดใดก็ตาม ในหนังสือเกี่ยวกับประเทศไทยหลายเล่ม เรามักเห็นภาพของดอกบัว หรือไม่ก็พวงมาลัยบนหน้าปกหนังสือ แสดงความเป็นไทยผ่านภาพเหล่านั้น หรือหนังสือเกี่ยวกับบ้านที่เน้นสไตล์ตะวันออก บางทีก็มีการ positioning ของความเป็นตะวันออก โดยการตกแต่งภาพด้วยพวงมาลัยดอกไม้สด หรืออุบะ วางไว้ในถาดหรือพาน ข้างหมอนอิง เป็นต้น พวงมาลัย และดอกไม้ เช่น ดอกบัว นี้ ถือได้ว่า ได้รับใช้จุดประสงค์ทางด้านการโฆษณาและการบอกกล่าวผ่านภาพลักษณ์ หรือ Image ให้สังคมอื่น ๆ ได้รับรู้ ด้วยเช่นกัน
สรุปแล้ว อาจบอกได้ว่า ดอกไม้และพวงมาลัยมีความเกี่ยวพันอย่างมากกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่อยู่เหนือคำว่าวิทยาศาสตร์ สิ่งที่มีผลกระทบต่อจิตใจคนเราได้ง่าย และฝังรากลึกลงไปในใจคนเราและเปลี่ยนแปลงยาก ดังนั้น การนำเอาสิ่งต่าง ๆ ที่กระทบจิตใจและการรับรู้ของคนเรา และทำให้คนจำได้ง่าย ๆ โดยผ่านกระบวนการ Discourse มาใช้ประโยชน์ในด้านการออกแบบงานโฆษณา จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ การ Decode สิ่งต่าง ๆ จึงสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ก่อนที่จะเริ่มลงมือทำงานออกแบบเพื่อสื่อให้สังคม หรือกลุ่มเป้าหมาย เห็นและเข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ แต่กระนั้น เราก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่า คนที่เห็นนั้น จะรับรู้และ Decode สิ่งทีเราต้องการสื่อได้ตรงกับเราหรือไม่ เพราะการ Decode สิ่งต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และบริบทแวดล้อมของแต่ละคน
วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553
Laos the Tranquillity
It was quite hard for me to start the story of Laos trip, just a few days ago passed. Why? It was because in one side, there were pictures in Laos I had got used to which simply made me feel quite familiar with them. And that meant that I didn’t know how to explain for what I already got used to it.
Nevertheless, a man must have some things among many that appeal or at least remind him of something in the past. And this was like what I had experienced in Laos. The small towns nestled in the mountains of Laos, apart from Vientiane the capital, including Vang Vieng and Luang Prabang, also have some things that reminded me of my childhood. This was the first time for me in Laos, with another two friends of mine. We settled all plans for the trip, except the accommodations in Laoswhich supposed to be very cheap choice and walked in only. So this was something exciting, though, for the women like us. Three of us travelled by a night bus (relieved to find it was the comfortable one) from Bangkok to Nongkhai in North-eastern Thailand. The night seemed to last quite long than it should have been. But yes, it was a long way too. At that night on the bus, I just realized that I get older with the physical body not as strong as I had been in the past 3 years.
In the morning of the next day, we were in Nongkhai. Oh my goodness, there were so many drivers approaching to us and other passengers to offer their service. In Thailand, you will often see this kind of situation, so don’t be panic. Relax, and just walk to your destination, to the bus station to sit, to wash your face, to find something to eat or refresh yourself, or if you have to leave that place to somewhere, just respond to one of those drivers to negotiate. But bear in mind that the price could be higher than the locals experience it. So if you know how to bargain with him or with other driver until you feel satisfied with that price, this situation would not be too much for you.
After we finished everything about visa upon arrival and all documenting required before entering Laos, we waited until a mini bus arrived to take passengers across the Friendship Bridge (Saphan Mitraphap). The Mekong River is so large but the day we went there got rain so the water was quite dirty with mud. There were not only tourists like us on the mini bus but also local Thai and Laotian people who traveled from Thailand to Laosand vice versa, to do some trades. The bus took around 20 minutes from the Thai border to reach the “Morning Market” in Vientiane. The Morning Market is the place where local people usually come to buy things. You could also see that there were many vendors around there. It is quite a place to stop to buy some things before going into the center of Vientiane. So we stopped here to have “Pho” or Vietnamese noodle, but in Laos style. Pho here looks similar to Thai noodle but it is taken with shrimp paste. It was nice for us to have some hot soup that morning.
After we were full, we decided to head to the center, Nam Phu (Fountain), about which we heard since we were in Thailand, in that there were many guesthouses and hotels ranging from luxury to budget kinds (I mean the real budget guesthouses!). We went around with a map, a Laos guidebook and papers of information we got from the internet, to find a very cheap guesthouse to stay for a night in Vientiane. Finally we got one, Sabaidee Guesthouse around Nam Phu Fountain, on Setthathilath Road, near Joma Bakery and Coffee Shop (and after I looked at the map posted at the guesthouse, I just got to know that Exotissimo Travel, Vientiane office was just around there!). It was really cheap one. We checked in for a triple bed rooms, with the cost per person per night of only (around- couldn’t remember the exact price) 100 Baht (around 7-8 USD). This rate was for the room with sharing bathroom but it was ok for us (at least for the first day).
My friend took some sleeps but for me, I went out to find a place for a body massage. I could ask from local people there, because the communication was not a problem for us (we are Thai). After a 5 minute walk near the guesthouse, I could find one. The massage cost for 1 hour is around 35,000 kips or around 3.5 USD (120 Baht), which was not too costly. Laos body massage was a little bit softer than Thai traditional massage, but it could make me feel relaxed after the bus traveling. In the late afternoon, we three started a sightseeing tour around Vientiane. We went to see the highlight of this capital city, the Patuxai or the Victory Monument of Laos. It was very outstanding once we turned on the road leading to it. It was there, in front of us, looked like the Parisian L’Arc de Triomphe in France. We just took photos of it but there was no time to get up at the top of it. Local people in the road traffic looked at us when we did different postures with their Patuxai. It was fun! After that, we spent some time at the Phra That Luang which is the Great Sacred Stupa" of Vientiane, and took a tuk tuk to the Mekong river bank where we strolled along the footpath, seeing street vendors and river. It was a not a good time that day because it got rain. What I got impressed about Vientiane was the dinner, having Laos’ specialties with local wine and listening to songs during our “nightlife” in Vientiane. Moreover, the Patuxai was beautiful for me, very prominently standing out, symbolically the center of all Laotian people.
The day and night at Vientiane was left behind after we took a mini bus in order to continue to Vang Vieng. Vang Vieng is a very small town about mid way between Luang Probang and Vientiane, where backpacker travelers usually make a stop before going up hill to Luang Prabang. Vang Vieng for me was a kind of a relaxing destination, probably because we rented a motorcycle to travel around the town, and our accommodation was quite better (much better) than that in Vientiane. The place we stayed at was on the bank of Song River, with the scene of cliff, mountains and hanging bridge. We saw many travelers canoeing / kayaking along the river, even though it was a bit raining.
The highlight of us was Luang Prabang (at least in our imagination). The road was always up hill and long, long road to go. We took around 5 hours to reach there. It was better that the mini bus was quite comfortable and cool, breeze always freshened us. The driver did not turn on the air condition because, as he said, it was cool outside. The bus stopped a few time, to take a break and to shot some nice scenes, before we finally arrived the destination. We were off at the Post Office, to take a local tuk tuk to town. Luang Prabang was not like that I had imagined. I had imagined that it was really traditional, but actually it was like Chiang Mai dated back to the old days when I was young. There were cars, motorcycles and bicycles on the roads, with old colonial buildings. What remain traditional were temples, the way people dress, people getting up early to offer foods to yellow- robed monks who walk in row (this tradition is very beautiful which we will not see anymore in Thailand), and traditional discotheque, where local Laos people do clubbing and parties, with remaining traditional dance and songs.
For 3 days we spent in Luang Prabang, we had an opportunity to visit Pak Ou Cave. The locals call this place “Ting Cave” (or Tham Ting). Pak Ou Cave is located about 25 km from Luang Prabang. We hired a local tuk tuk, passing cloth weaving villages, where we did some shopping for woven clothes, before reaching the Mekong River bank where we boarded a boat to cross the river to the Caves. The caves entrance is clearly visible from the river. The place is filled with hundreds of discarded statues of Buddha laid out over the floors and wall shelves. It was a very astonishing picture for me to see a large number of statues like this and even was a very much spectacular view when I saw them from the boat as I approached the caves. The statues are tucked into the imposing limestone cliff.
Another impressive and pleasant activity we did in Luang Prabang was cycling around the town to visit temples (we also visited the famous Wat Xieng Thong). There are many temples in Luang Prabang (like Thailand’ northern region where you will see if you visit northern Thailand, there are many temples or wats on almost every streets.) There was not much traffic along the streets in Luang Prabang center (the center is like the travelers’ resort, where travelers and locals spend their life on different prospects: ones live there, selling foods and souvenirs, renting guesthouses, yet remaining their tradition; another ones make their holiday, taking a rest and learning locals, then getting back with a new mind and perception. This is what traveling plays a role. As I can see, there is something both travelers and local people here have in common: their lives move at a languid pace..
Nevertheless, a man must have some things among many that appeal or at least remind him of something in the past. And this was like what I had experienced in Laos. The small towns nestled in the mountains of Laos, apart from Vientiane the capital, including Vang Vieng and Luang Prabang, also have some things that reminded me of my childhood. This was the first time for me in Laos, with another two friends of mine. We settled all plans for the trip, except the accommodations in Laoswhich supposed to be very cheap choice and walked in only. So this was something exciting, though, for the women like us. Three of us travelled by a night bus (relieved to find it was the comfortable one) from Bangkok to Nongkhai in North-eastern Thailand. The night seemed to last quite long than it should have been. But yes, it was a long way too. At that night on the bus, I just realized that I get older with the physical body not as strong as I had been in the past 3 years.
In the morning of the next day, we were in Nongkhai. Oh my goodness, there were so many drivers approaching to us and other passengers to offer their service. In Thailand, you will often see this kind of situation, so don’t be panic. Relax, and just walk to your destination, to the bus station to sit, to wash your face, to find something to eat or refresh yourself, or if you have to leave that place to somewhere, just respond to one of those drivers to negotiate. But bear in mind that the price could be higher than the locals experience it. So if you know how to bargain with him or with other driver until you feel satisfied with that price, this situation would not be too much for you.
After we finished everything about visa upon arrival and all documenting required before entering Laos, we waited until a mini bus arrived to take passengers across the Friendship Bridge (Saphan Mitraphap). The Mekong River is so large but the day we went there got rain so the water was quite dirty with mud. There were not only tourists like us on the mini bus but also local Thai and Laotian people who traveled from Thailand to Laosand vice versa, to do some trades. The bus took around 20 minutes from the Thai border to reach the “Morning Market” in Vientiane. The Morning Market is the place where local people usually come to buy things. You could also see that there were many vendors around there. It is quite a place to stop to buy some things before going into the center of Vientiane. So we stopped here to have “Pho” or Vietnamese noodle, but in Laos style. Pho here looks similar to Thai noodle but it is taken with shrimp paste. It was nice for us to have some hot soup that morning.
After we were full, we decided to head to the center, Nam Phu (Fountain), about which we heard since we were in Thailand, in that there were many guesthouses and hotels ranging from luxury to budget kinds (I mean the real budget guesthouses!). We went around with a map, a Laos guidebook and papers of information we got from the internet, to find a very cheap guesthouse to stay for a night in Vientiane. Finally we got one, Sabaidee Guesthouse around Nam Phu Fountain, on Setthathilath Road, near Joma Bakery and Coffee Shop (and after I looked at the map posted at the guesthouse, I just got to know that Exotissimo Travel, Vientiane office was just around there!). It was really cheap one. We checked in for a triple bed rooms, with the cost per person per night of only (around- couldn’t remember the exact price) 100 Baht (around 7-8 USD). This rate was for the room with sharing bathroom but it was ok for us (at least for the first day).
My friend took some sleeps but for me, I went out to find a place for a body massage. I could ask from local people there, because the communication was not a problem for us (we are Thai). After a 5 minute walk near the guesthouse, I could find one. The massage cost for 1 hour is around 35,000 kips or around 3.5 USD (120 Baht), which was not too costly. Laos body massage was a little bit softer than Thai traditional massage, but it could make me feel relaxed after the bus traveling. In the late afternoon, we three started a sightseeing tour around Vientiane. We went to see the highlight of this capital city, the Patuxai or the Victory Monument of Laos. It was very outstanding once we turned on the road leading to it. It was there, in front of us, looked like the Parisian L’Arc de Triomphe in France. We just took photos of it but there was no time to get up at the top of it. Local people in the road traffic looked at us when we did different postures with their Patuxai. It was fun! After that, we spent some time at the Phra That Luang which is the Great Sacred Stupa" of Vientiane, and took a tuk tuk to the Mekong river bank where we strolled along the footpath, seeing street vendors and river. It was a not a good time that day because it got rain. What I got impressed about Vientiane was the dinner, having Laos’ specialties with local wine and listening to songs during our “nightlife” in Vientiane. Moreover, the Patuxai was beautiful for me, very prominently standing out, symbolically the center of all Laotian people.
The day and night at Vientiane was left behind after we took a mini bus in order to continue to Vang Vieng. Vang Vieng is a very small town about mid way between Luang Probang and Vientiane, where backpacker travelers usually make a stop before going up hill to Luang Prabang. Vang Vieng for me was a kind of a relaxing destination, probably because we rented a motorcycle to travel around the town, and our accommodation was quite better (much better) than that in Vientiane. The place we stayed at was on the bank of Song River, with the scene of cliff, mountains and hanging bridge. We saw many travelers canoeing / kayaking along the river, even though it was a bit raining.
The highlight of us was Luang Prabang (at least in our imagination). The road was always up hill and long, long road to go. We took around 5 hours to reach there. It was better that the mini bus was quite comfortable and cool, breeze always freshened us. The driver did not turn on the air condition because, as he said, it was cool outside. The bus stopped a few time, to take a break and to shot some nice scenes, before we finally arrived the destination. We were off at the Post Office, to take a local tuk tuk to town. Luang Prabang was not like that I had imagined. I had imagined that it was really traditional, but actually it was like Chiang Mai dated back to the old days when I was young. There were cars, motorcycles and bicycles on the roads, with old colonial buildings. What remain traditional were temples, the way people dress, people getting up early to offer foods to yellow- robed monks who walk in row (this tradition is very beautiful which we will not see anymore in Thailand), and traditional discotheque, where local Laos people do clubbing and parties, with remaining traditional dance and songs.
For 3 days we spent in Luang Prabang, we had an opportunity to visit Pak Ou Cave. The locals call this place “Ting Cave” (or Tham Ting). Pak Ou Cave is located about 25 km from Luang Prabang. We hired a local tuk tuk, passing cloth weaving villages, where we did some shopping for woven clothes, before reaching the Mekong River bank where we boarded a boat to cross the river to the Caves. The caves entrance is clearly visible from the river. The place is filled with hundreds of discarded statues of Buddha laid out over the floors and wall shelves. It was a very astonishing picture for me to see a large number of statues like this and even was a very much spectacular view when I saw them from the boat as I approached the caves. The statues are tucked into the imposing limestone cliff.
Another impressive and pleasant activity we did in Luang Prabang was cycling around the town to visit temples (we also visited the famous Wat Xieng Thong). There are many temples in Luang Prabang (like Thailand’ northern region where you will see if you visit northern Thailand, there are many temples or wats on almost every streets.) There was not much traffic along the streets in Luang Prabang center (the center is like the travelers’ resort, where travelers and locals spend their life on different prospects: ones live there, selling foods and souvenirs, renting guesthouses, yet remaining their tradition; another ones make their holiday, taking a rest and learning locals, then getting back with a new mind and perception. This is what traveling plays a role. As I can see, there is something both travelers and local people here have in common: their lives move at a languid pace..
Hanoi the city of pho, cyclo, smoky smile, and more..
This is my first time writing here through the blog provided by Worldnomads. But I have known this website for years. My first story, started quite long time enough to make me stuck in awhile to remind the story. To start, I would like to give you one word.. "Remarkable", it is for this trip. Hanoi, the city of sound chaos but peaceful enough in each little street. Many things amazed me once I arrived there. First of all, the excitement was there once I arrived the airport. Why? I just realized that my passport was another 2 months to be due to renewal. Ah ha. Imagine how excited and worried I was at that moment. Well, "think positive" I just talked to myself (Of course I could do nothing on the plane) Finally on arrival, the first thing while I was walking to those rows waiting to go through the passport checking process, was murmurring with myself and targeting which row I would be in. And I got an idea. Kind of psychological. "A man" I thought. "I should choose to close this situation with a male staff." It would be easier in negotiation. Umm, you may think this was non sense. But you know, it worked! He didn't ask anything and let me pass through. Haaaa sooo relieved I felt.
"Good morning Vietnam!!" I shouted! (alright, it was in my mind :)) Finally Hanoi was out there. I walked out the airport with confidence. The bus with a smiling man from the hostel was waiting for us, who was about to introduce us and other tourists to the "unique way of Vietnamese driving"! It seemed like the road meant nothing and it wasn't there! It seemed to me that the bus was shaking and crawling like a snake or simply and intentionally slipping out of its lane to another lane, and slipping back to its normal lane again when there was a vehicle coming in the opposite direction. Nothing I could do but looked at my friends' face and said "oh my Lord Buddha" "Am I gonna be alright in Hanoi?"
It was very noticeable that most of Vietnamese houses are very identical and unique in the style. I do not know if it is because of the high price of land or something, but the houses in Hanoi city look like the place that are designed to serve 2 purposes- living and commercial. And it is interesting to see that each house is very close to the same size. I guess that houses in Hanoi (and probably in Vietnam) are built in the same style- 2- storey building with small body. I just imagined how people live in those narrow blocks.
In around half an hour, we were in the middle of Hanoi city. Wow! It was such as lively cty. We were not sure what street we were on, but what we knew was that the bus stopped in front of a company (I thout it was a tour company) and the person who was supposed to be with us until we arrived the hostel, just got off the bus and let the driver who couldn't speak English be with us until we reached our accommodation. I couldn't remember what the name of the street was until I check the name in the photo taken at home (now I'm at the office while writing this blog!). Along the busy street where all kinds of drivings came to us and passed by, we felt pretty excited because of the buildings along the street. I could smell the strong smell of French colonial- styled architecture. In my opinion, yellow is the very outstanding colour and plays a distinctive role in those buildings. Since it was in the morning, life just began and people just lived their way, driving, riding, cycling and walking to work. The remarkable number of people cycling on the streets reminded me of my trip in Kunming. Both sides looked very lively with people chatting, smoking, drinking coffee and selling.
"Good morning Vietnam!!" I shouted! (alright, it was in my mind :)) Finally Hanoi was out there. I walked out the airport with confidence. The bus with a smiling man from the hostel was waiting for us, who was about to introduce us and other tourists to the "unique way of Vietnamese driving"! It seemed like the road meant nothing and it wasn't there! It seemed to me that the bus was shaking and crawling like a snake or simply and intentionally slipping out of its lane to another lane, and slipping back to its normal lane again when there was a vehicle coming in the opposite direction. Nothing I could do but looked at my friends' face and said "oh my Lord Buddha" "Am I gonna be alright in Hanoi?"
It was very noticeable that most of Vietnamese houses are very identical and unique in the style. I do not know if it is because of the high price of land or something, but the houses in Hanoi city look like the place that are designed to serve 2 purposes- living and commercial. And it is interesting to see that each house is very close to the same size. I guess that houses in Hanoi (and probably in Vietnam) are built in the same style- 2- storey building with small body. I just imagined how people live in those narrow blocks.
In around half an hour, we were in the middle of Hanoi city. Wow! It was such as lively cty. We were not sure what street we were on, but what we knew was that the bus stopped in front of a company (I thout it was a tour company) and the person who was supposed to be with us until we arrived the hostel, just got off the bus and let the driver who couldn't speak English be with us until we reached our accommodation. I couldn't remember what the name of the street was until I check the name in the photo taken at home (now I'm at the office while writing this blog!). Along the busy street where all kinds of drivings came to us and passed by, we felt pretty excited because of the buildings along the street. I could smell the strong smell of French colonial- styled architecture. In my opinion, yellow is the very outstanding colour and plays a distinctive role in those buildings. Since it was in the morning, life just began and people just lived their way, driving, riding, cycling and walking to work. The remarkable number of people cycling on the streets reminded me of my trip in Kunming. Both sides looked very lively with people chatting, smoking, drinking coffee and selling.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)